เสียงลากมอเตอร์ไซต์ออกจากที่จอดรถดังเอี๊ยดอ๊าด เราเปิดหน้าต่างหันไปร้องถาม “แม่จะไปไหน “ แม่ตอบเสียงขุ่น บ่งบอกถึงอารมณ์ที่ตนกำลังรู้สึก “ แม่จะไปบ้านลุง “ เราหัวเราะอย่างนึกขำ เอ่ยปากเน้นน้ำเสียงช้า ๆ ชัด ๆ “ แม่ ! ใครจะดับไฟให้แม่ได้ จะเอาเชื้อไปต่อให้ใคร มันไม่มีทางดับหรอก มีแต่จะเพิ่ม คนที่จะดับได้ก็เรานี่หล่ะต้องดับเอง “ คนอายุเกือบ 60 หันมามองหน้าคนอายุ เกือบ 40 ชีวิตที่ผ่านระยะ half life มานานของแม่ จึงไม่ต้องใช้เวลาในการครุ่นคิดนาน คำพูดจากปากของลูกสาว ทำให้แม่เลื่อนมอไซต์กลับมายังที่เดิม ดันขาตั้งลง เป็นสัญญาณบอกว่า จะไม่ออกจากบ้านไปไหน ความตั้งใจที่จะนำทุกข์ที่มีไประบายกับลุง ป้า และเพื่อนบ้านคนอื่น ๆ สิ้นสุุดทันที เราเห็นโอกาส จึงกล่าวต่อ “ แม่ ! คนชอบด่า ชอบบ่น ชอบใช้ปากในการระบายอารมณ์ เพราะมันไม่สามารถจะทำให้ความทุกข์ที่มันเก็บไว้บรรเทา ไอ้หมอนั่นมันทำอะไรไม่ได้ มันโกรธแค้นมากมาย เมื่อไม่มีปัญญาจะทำอะไรได้ ก็ใช้นิสัยแบบผู้หญิงคือระบายด้วยปาก น่าสมเพทจะตายไป ยิ่งด่ายิ่งแช่งไฟในใจมันก็ยิ่งคุกรุ่น อีกไม่นานไฟที่มันตั้งใจจะเผาเรา จะกลายเป็นเผาตัวมันเอง แม่ยังจะไปเอาเชื้อไฟจากมันมาเผาตัวเองอีก อโหสิให้มันเถอะ “ สีหน้าแม่่ครุ่นคิด และดูเหมือนว่าแม่จะยอมรับประโยคดังกล่าว แต่ก็อดย้อนตอบลูกสาวกลับไม่ได้ “ ก็บางครั้งมันก็โมโหนี่ “
สาเหตุที่ทำให้แม่โมโหจนแทบฆ่าคนได้ เรื่องมันมีอยู่ว่า ที่ดินข้างบ้านของเราเป็นที่ดินสาธารณะสำหรับทำถนนอ้อมหมู่บ้าน แต่เพื่อนบ้านที่อยู่ข้าง ๆ กลับบอกว่าเป็นที่ดินของมัน รวมทั้งที่ดินบ้านของเราและสวนล้วนแล้วแต่เป็นสมบัติบรรพบุรุษมันทั้งสิ้น แล้วยังบอกว่า ตาของเราที่เสียชีวิตไปแล้ว มาขอทานอยู่ อยู่ไปอยู่มาตากลับยึดที่ดินพ่อมันเป็นสมบัติ รวมทั้งหลวงยังยึดที่ดินมันเป็นถนนสาธารณะ หลักฐานยืนยันพูดกันหลายรอบหลายปี ไอ้เว….นี่มันก็บ้าพูดจาไม่รู้เรื่อง ชาวบ้านต่างเบื่อหน่าย เพราะมันเล่นมาปิดถนนทางเดินเอาดื้อ ๆ แจ้งตำรวจหลายรอบก็ยังคงเหมือนเดิม ก็รู้ ๆ กันอยู่ ถึงศักยภาพของตำรวจไทย ( อย่าคิดว่าด่าเลย เรื่องจริงรับไปเถอะ ) แต่ก็น่าแปลกใจ ช่วงที่ตาเรายังมีชีวิตอยู่ และช่วงที่พ่อยังอยู่กับแม่ที่บ้าน มันไม่เคยบ้ากล้าทำแบบนี้มาก่อน อาจจะคิดว่ามีแค่เรากับแม่อยู่กันสองคน เลยคิดจะยึดที่ดินทั้งหมดเหมือนที่มันเคยทำกับเพื่อนบ้านรายอื่น สาเหตุนี้ทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกันบ่อย ๆ รวมทั้งไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา จนทำให้แม่เกิดอาการสติแตกนั่นเอง
ในบางจังหวะของชีวิต เรามีโทสะเช่นเดียวกันกับแม่ คำด่าตะโกนข้ามหลังคาบ้าน คำสาปแช่ง ที่เพื่อนบ้านเจ้าปัญหาพ่นออกมา อาการกร่างเดินถือมีดอีโต้ บางครั้งก็ถือปืนแก๊บเดินส่ายไปมา หรือแม้แต่จ้างหมอผีทำพิธีใส่คุณไสย์ เพราะไม่กล้าจะทำอะไรซึ่ง ๆ หน้า จึงแสดงอาการเหมือนหมาบ้าตลอด เราเคยนึกอยากปักธูปบนที่ดินสักดอก ขอทุกสิ่งที่มันทำย้อนเข้าสู่ตัว แต่เมื่อสติสัมปชัญญะ ครบถ้วนกลับทำให้นึกถึงคำสอนของครูบาอาจารย์ที่ตนนับถือ พอคิดได้ก็ขำตัวเอง “ เมื่อรู้ว่าขี้ยังจะเดินเข้าไปเหยียบ ก้าวข้าวไปหรือเดินเลี่ยง ก็ทำได้ทั้งนั้น จะทิฐิมานะ ไปเหยียบขี้ ดีแต่จะทำให้ตัวเองเหม็น “ ยิ่งหากย้อนไปดูสภาพของเพื่อนบ้านที่เป็นอยู่ ใจเราอโหสิได้บ่อยขึ้น อาจเป็นเพราะเสียงร้องไห้กระจองอแงของลูกหลานในบ้าน เสียงไอเป็นระยะ ๆ ในตอนดึก เสียงไอแบบนี้บอกว่าสภาพร่างกายมีปัญหาเรื้อรัง เสียงตะโกนด่าทอกันเอง คำว่านรกอยู่บนดินก็คงสภาพนี้ ยิ่งหากนึกถึงสภาพจิตใจของเจ้าตัวคนละโมภ นึกอยากได้ของคนอื่น เราท่องจำคำพระองค์หนึ่งไว้ว่า ใจละโมภคือภพของเปรต เพื่อนบ้านคนนี้อยู่ในสภาพใจเป็นเปรตมาทั้งชีวิต สภาพแบบนั้นมันคงทุกข์ทรมานยิ่งกว่าตายทั้งเป็น นึกถึงคำบอกเล่าของเพื่อนบ้านอีกคน ที่เคยกระทบกระทั่งกับเปรตเดินดินเล่าว่า หมอดูทำนาย อีกไม่นาน เปรตตัวนี้จะแพ้ภัยตนเอง นี่ขนาดอยู่ในสภาพร่างกายเป็นคนยังเฮี้ยนขนาดนี้ ตายเป็นผีเมื่อไหร่ เสียงด่าทอคงเป็นเสียงโหยหวลชวนขนหัวลุก เราคงจะต่องท่องคำว่าอโหสิกรรมติดปากไว้เลยหล่ะ ! สาธุ ! ขอให้เลิกแล้วต่อกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น