รู้สึกเซ็ง ๆ ยังไงก็ไม่รู้ รู้สึกว่าหมดไฟในการทำงาน ทำไปเรื่อย ๆ ไม่ได้คิดจะอยากพัฒนาตนเอง งานมันสุมๆ กองพะเนิน ทบทวนและพิจารณาสาเหตุที่แท้จริง มันน่าจะเกิดจากนิสัยไม่ดีก็คือ อาการเบื่อง่าย ทำอะไรวูบวาบไปสักพัก แล้วก็เลิก ยิ่งถ้าไม่ได้ผลตามใจต้องการแล้วเป็นต้องโวยวายเป็นเรื่องใหญ่ ยังมีเรื่องของหัวใจที่ต้องมานั่งคิด เฮ้อ ! เซ็งหว่ะ
ครั้นพอเซ็งก็หาอะไรทำ ไอ้ที่ขี้เกียจแชตบนโลกออนไลน์ ก็เริ่ม chat แก้เซ็ง คุยไปคุยมาก็ได้หลากหลายประเด็นที่เพื่อน ๆ บนโลกออนไลน์แนะนำวิธีชาร์ตแบตเตอรี่ให้ชีวิตเรา
เพื่อนเก่าคนหนึ่งตอนที่เราเรียนมัธยมต้นด้วยกัน เรามักจะปั่นจักรยานกลับจากโรงเรียนด้วยกันบ่อย ๆ เล่าให้ฟังว่าทุกครั้งที่เหนื่อยและก็ท้อมาก ๆ จะเดินทางจากกรุงเทพกลับบ้านนอกมากอดต้นไม้ใหญ่ ๆ สูดลมหายใจลึก ๆ นาน ๆ จะทำให้เค้ารู้สึกดีขึ้น เรานึกจินตนาการหน้าตาของเพื่อนชายคนนี้กอดต้นไม้ใหญ่ แล้วให้นึกขำ ก็คุณเธอเป็นผู้ชายเรียบร้อยกว่าเราซะอีก ภาพแบบนี้หากได้เห็นก็โรแมนติคดีไปอีกแบบ
พี่ชายอนาคตผู้บริหารของโรงเรียน พิจารณาทบทวนหาประเด็นอาการแบตเสื่อมของเรา แล้วให้คำแนะนำว่า ให้ไปเรียนต่อปริญญาเอก เริ่มต้นจาก ฝึกเรียนภาษาอังกฤษโดยการเป็นกิ๊กกับฝรั่ง แล้วก็สอบชิงทุนไปเรียนนอกมันซะเลย หาอะไรท้าทายแบบนี้ทำ อาการเบื่อจะได้หมดไป เราเห็นด้วยแต่คิดไปทำไมมันไม่รู้สึก spark เอาซะเลย แต่พอนึกถึงมาดของผู้พูด มาดท่านน่าเกรงขาม ดูจริง จัง บุคลิกคนมีอำนาจ แต่ท่านคิดได้ไง เรียนภาษาอังกฤษด้วยการเป็นกิีกกับฝรั่ง
หากท้อนักก็ทำงานให้หนักมากขึ้น แบบว่าทุ่มลงไปเยอะ ๆ เอาให้โทรมไปเลย นี่เป็นวิธีการหนึ่งที่เพื่อนอีกคนใช้เพื่อชาร์ตแบตเตอรี่ให้กับชีวิตตนเอง
ช็อปปิ้ง จับจ่ายซื้อของ อันไหนที่เคยอยากได้ ซื้อมาให้หมด สิ่งไหนที่เคยอยากกิน พอเงินหมดก็กลับบ้านนอน แล้วก็จะทำให้มีเรี่ยวมีแรงทำงานเพื่อหาเงินมาจับจ่ายอีกครั้ง วิธีนี้เราเคยใช้บ่อย ๆ ใช้ได้ดีเป็นบางครั้งด้วยหล่ะ
แต่งตัวให้สวยให้เริ่ด หันมาสนใจดูแลตนเองทั้งสุขภาพ การแต่งกาย ผมเผ้าเสื้อผ้า เปลี่ยนให้หมด สลัดคราบเดิม ๆ ทิ้งไป เปลี่ยนเป็นคนใหม่ พอภายนอกเปลี่ยน ภายในก็จะเปลี่ยนด้วย
ครั้น chat นานแล้วก็เลยเลิก แต่ละคนมีคำแนะนำแตกต่างกันออกไป เราเริ่มตระหนักว่าอาการแบบนี้เป็นได้กับทุกคน ไม่ใช่เฉพาะเราเพียงคนเดียว อาการเบื่อแบบนี้เป็นได้ทุกเพศทุกวัย และทุกภาษา ถึงเราจะรู้ว่ามันเกิดขึ้นเองได้ เดี๋ยวมันก็หายเองได้ แต่ก็มักจะขาดสติ หลงตามอารมณ์อยู่บ่อย ๆ
ออกไปวัดกราบพระอาจารย์ที่วัดหน่อยดีกว่า ไม่ได้ไปกราบท่านนานแล้ว อีกอย่างจะไปขอข้อมูลและกิจกรรมต่าง ๆ ในวัดมาเพิ่มในบล็อก เป็นการช่วยเผยแพร่งานพระพุทธศานาด้วย ทำตัวให้เป็นประโยชน์ซะบ้าง เมื่อไปถึงวัดเห็นพระอาจารย์กำลังกวาดใบไม้รอบ ๆ ลานวัด จึงเข้าไปกราบท่าน
พระอาจารย์ : อ้าวคุณโยม ปีใหม่เป็นอย่างไรบ้าง
เรา : โยมก็เรื่อย ๆ ค่ะ วันนี้เอาแอร์การ์ดมาคืนพระอาจารย์ โยมต่อเน็ตที่บ้านได้แล้ว และก็มาขอข้อมูลกิจกรรมที่พระอาจารย์ต้องการจะให้โยมช่วยเผยแพร่ทางเน็ตค่ะ
พระอาจารย์ : เห็นเด็ก ๆ บอกว่า โยมมีผัวฝรั่งมารึ
เรา : (หัวเราะ ขำหน่ะ) เปล่าค่ะ เด็ก ๆ เค้าคงให้พร ให้โยมมีผัวฝรั่งมังคะ เพื่อนโยมเองค่ะ ตั้งใจจะพามากราบพระอาจารย์ แต่ว่าวันที่พามา ปรากฏว่าพระอาจารย์ไม่อยู่ เค้าสนใจศาสนาพุทธด้วยนะคะ กราบได้สวยกว่าคนไทยซะอีก
พระอาจารย์ : ไม่ใช่เปลี่ยนแนวอยากแต่งงานแล้วรึ ไหนว่าตั้งปณิธานว่าจะช่วยงานศาสนาไม่ใช่เหรอ
(คำถามนี้ทำให้เราสะดุ้ง เงียบไปพักใหญ่ จึงสามารถหาคำตอบมาพูดคุยต่อได้ )
เรา : จะแต่งหรือไม่แต่งงาน โยมก็ตั้งใจจะช่วยงานด้านศาสนาอยู่แล้วค่ะ แต่ถ้าหากโยมแต่งงาน โยมจะมีโอกาสช่วยได้มาก ตามศักยภาพของโยมเลยทีเดียว
พระอาจารย์ : หมายความว่ายังไง ?
เรา : (เลี่ยงประเด็นดีกว่า) ก็โยมจะหาสามีรวย ๆ มาช่วยเป็นทุนในการทำนุบำรุงพระศาสนาไงคะ
ขากลับนอกจากข้อมูลที่ได้จากวัดเพื่อมาเพิ่มเติมในเวบบล็อก เรายังได้ประโยคเด็ด ที่ spark แบตเตอรี่ในตัวเราได้อีกครั้ง “ ตั้งปณิธานในการช่วยงานพระพุทธศาสนาไม่ใช่รึ ?” คำถามที่เราต้องสะดุ้ง เพราะเวลาเปลี่ยน เหตุการณ์มากมายเกิดขึ้น มันทำให้เราลืมปณิธานที่ตั้งไว้ ความตั้งใจจะทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม แบ่งปันสิ่งที่ตนเองมีให้กับคนอื่นบ้าง มันหายไปหมด เหลือเพียงความเห็นแก่ตัว เรียกร้องอยากได้ทุกอย่างเป็นของตัว อยากได้ความสุขความสบายมากมาย เฮ้อ ! อีบ้านี่ หลงทางอีกละ
มันเป็นวิธีสุดท้ายที่เราใช้ จุดประกายในตัวได้อีกครั้ง นั่นคือย้อนกลับมาพิจารณาจุดมุ่งหมายในการดำเนินชีวิตอีกครั้ง เราต้องการอะไรกันแน่ ? เมื่อรู้แล้วก็ก้าวต่อไปอย่างมุ่งมั่น แค่นี้ประกายไฟก็สว่างพรึบขึ้นทันที
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น