หลังภารกิจเสร็จสิ้นเราเตรียมตัวเตรียมใจฟังธรรม เมื่อพระเดินขึ้นธรรมมาส์เตรียมตัวเทศนา เสียงของชาวบ้านที่ส่งเสียงจอแจเงียบลง พระอาจารย์เลือกหัวข้อในการเทศนาฟังง่ายและเหมาะกับชาวบ้าน เสียงหัวเราะสนุกสนานจากการฟังธรรมดังแว่วมาเป็นระยะ ๆ เสียงที่ได้ยินมาจาก หลายวัย ทั้งเด็ก วัยรุ่นและผู้ใหญ่ ภาพและเสียงเช่นนี้เป็นส่ิ่งที่หาดูได้ยากในปัจจุบัน ยากนักที่จะเห็นเด็ก หรือวัยรุ่นเข้าวัด แต่ที่นี่…มหัศจรรย์ไทยแลนด์ก็ว่าได้
หลังฟังธรรมจบ ต่างแยกย้ายกลับบ้าน เราเดินไปทักทายเด็กหนุ่มสาวหลายคน เพราะเหล่านั้นต่างเคยผ่านไม้เรียวเรามาแล้วทั้งสิ้น คำถามทักทายเกิดจากความสงสัยโดยแท้จริง “ ทำไมถึงได้เข้าวัดมาฟังธรรม โดยส่วนมากวัยรุ่น ในช่วงนี้ต้องดูหนังดูละคร “ เด็กเหล่านั้นตอบโดยไม่ลังเลว่า ตามผู้ปกครองมา บางคนบอกว่า พ่อหรือแม่ให้มาเป็นเพื่อน บางคนก็บอกว่า มากับยาย คำตอบเหล่านี้เรียกภาพเก่า ๆ ที่เคยลืมไปกลับคืนมาในความทรงจำอีกครั้ง
ภาพเด็กผู้หญิงตัวน้อย นุ่งผ้าซิ่นผืนโต จะหลุดมิหลุดแหล่ เดินถือปิ่นโตและดอกสะเลเตตามยายไปวัดในตอนเช้า และทุกคืนวันพระ ก็จะต้องไปนอนฟังธรรมน้ำลายยืดอยู่บนศาลา (ไม่กล้านอนอยู่บ้านคนเดียว เพราะกลัวผีหลอก ) เด็กหญิงตัวน้อยนึกสงสัยตลอดมา ทำไมยายจะต้องให้นุ่งผ้าซิ่นไปวัด ทำไมยายจะต้องบังคับให้ไปวัดด้วยอยู่เสมอ ทำไมพระท่านต้องเทศน์ยาวซะขนาดนั้น แล้วทำไมท่านต้องเทศน์ภาษาอะไรที่ฟังไม่รู้เรื่อง ทำไมและทำไม ? หลังผ่านวัย 30 ฝน จึงได้ทราบกุศโลบายในการสอนหลานของยายผู้ชาญฉลาด ธรรมะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดปัญญาในการแก้ปัญหาชีวิต ถึงแม้ยุคสมัยที่มากมายของของล่อตาล่อใจให้เดินผิดทาง แต่เพราะถูกปลูกฝังตั้งแต่เล็ก ให้ยึดพระพุทธศาสนาเป็นที่พึ่ง ทำให้ชีวิตไม่เดินหลงทาง และมีกัลยาณมิตรคอยช่วยเหลือตลอดมา เราชอบใจคำตอบที่เด็ก ๆให้มา เด็กเหล่านี้โชคดีนักที่มีผู้ปกครองที่แสนฉลาด เหมือน ยายของเรา