ใกล้จะเปิดเทอมเข้ามาแล้วสิ งานที่ถมตั้งแต่ต้นเทอมจนป่านนี้ก็ยังสะสางไม่เสร็จ ถึงจะมีโรคประจำตัวที่รักษายังไงก็ไม่หายขาดคือโรคขี้ลืมและโรคทรัพย์จาง แต่ทว่าก็ยังไม่เคยลืมเลือนนิสัยดั้งเดิม นิสัยประจำจนอาจจะเรียกว่า สันดา…. อุ๊บ ( ศีลข้อ 4 วิบัตเข้าให้แล้วไหมหล่ะ) นิสัยประจำที่ว่านี่คือชอบนำดินมาพอกหางหมู จะมีประโยคยอดฮิตติดปาก “ เดี๋ยวค่อยทำก็ได้น่า “ อีกไม่นานยอดเขาพระสุเมรุที่ว่ามีความสูงยิ่งนัก อาจจะมีคู่แข่ง เป็นกองงานของเราเองก็เป็นได้
เคยตั้งสัจจะไว้ว่าจะหาโอกาสปฏิบัติธรรมและเปิดโรงทานอย่างน้อย 1 ที่ทุก ๆ ช่วงของการปิดเทอม ภูมิใจนักหนาที่สามารถทำมาได้เป็นเวลา 4 ปีเต็ม ๆ แต่ว่าในช่วงปิดเทอมครั้งนี้ จำยอมงดสวมชุดนักปฏิบัติ เพราะนอกจากงานเดิมที่กองเป็นตั้งอยู่แล้ว ยังต้องมาสวมบทบาทเป็นลูกยอดกตัญญู เนื่องจากผลงานวิชาการ อาจารย์ 3 หรือ ผลงานวิทยฐานะชำนาญการพิเศษของแม่ที่ส่งไป ส่งครั้งแรกผลประกาศว่าตก ส่งครั้งที่ 2 บอกว่าปรับปรุง นี่เป็นรอบที่ 3 ที่ต้องมาแก้แล้วแก้อีก แม่ส่งตั้งแต่ตอนที่เรากำลังเรียนปริญญาโทอยู่ จนกระทั่งบัดนี้เรียนจนจบแล้ว ดังนั้นในฐานะลูกจึงจำเป็นต้องมานั่งตรวจทานและแก้ไขให้ใหม่ เนื่องจากไม่ได้เรียนมาสายการสอนโดยตรง ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากมาก ซ้ำนิสัยส่วนตัวแล้ว ไม่ชอบงานวิจัยแม้แต่น้อย แต่ก็จำใจ เนื่องจากสังคมยอมรับกันนักหนา ว่าผลงานวิจัยมันบอกถึงประสิทธิภาพและความสามารถของคนเป็นครู อยากจะเถียงแทบขาดใจ ผลงานวิจัยมันบอกตรงไหนกัน กะอีแค่ยื่นเงินจ้าง หาคนเรียนจบวิจัยเก่ง ๆ สักคน จ้างทำให้ก็เป็นอันเสร็จ ส่วนอยู่ที่โรงเรียน หลบ ๆ บัง ๆ เสาโรงเรียนอยู่ไปวันๆ ก็ยังได้เป็นอาจารย์ 3 ถมถืด หากจะสาธยุายให้ยาวไป มันก็เหมือนสาวไส้ให้กากินนั่นหล่ะน๊า
อ่านข้อ comment ของงานวิจัยแล้วสับสน มันช่างแตกต่างจาก งานวิจัยของผู้บริหารอย่างลิบลับ คณะกรรมการท่านตรวจจิกทุกแผ่น ทุกหน้า ทุกตัวอักษร และทุกเคาะ เมื่อไม่รู้จะปรึกษาใคร ก็ค้น ๆ ไปเรื่อย ๆ ค้นและอ่านมาก ๆ เข้า ทำให้เข้าใจว่า งานวิจัยมันก็อีหรอบเดียวกัน ลอก ๆ กันมา นี่หน่ะเหรอ มันบ่งบอกประสิทธิภาพสมควรจะรับตำแหน่งวิทยะฐานะ ให้ครูรุ่นแม่ เรา นี่หน่ะทำวิจัย คิดได้ไง ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมถึงมีจ้างทำวิจัย แค่เปิดโน๊ตบุ๊คขึ้นมา แม่ก็เวียนหน้าเวียนหัว ซ้ำร้ายยิ่งไปกว่านั้น ครูต่างมุ่งมั่นทำผลงานกันเหลือเกิน งานไหน ๆในโรงเรียน ก็ไม่มีใครอยากรับผิดชอบ โยนโครม ๆๆ กันมา ใครโง่ก็รับไป หากมีแข่งขันผลงานวิชาการกันบ้างหล่ะก็ แย่งเด็กเก่งกันให้วุ่น ส่วนไอ้ที่ตาดำ ๆ หน้าแหล่ ๆ แบบ LD ทั้งหลาย แล้วแต่มันจะเป็น
โอ้ละหนอ ! อนาคตการศึกษาไทย เนี่ยมันก้าวหน้าหรือถอยหลังกันแน่นะ
ปล. เขียนแบบนี้ไป ถึงทีเราทำวิทยฐานะได้บ้าง เกิดประกาศไม่ให้มีวิทยฐานะขึ้นมาหล่ะก็ ซวยเลยตู
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น