ได้ฟังเพื่อน ๆ และ เหล่านักอ่านบทความในเวบบล็อก หลายคนวิพากษ์วิจารณ์ในพฤติกรรมของการดำเนินชีวิต ผ่านตัวอักษรที่เราเคยแบ่งปันบนโลกออนไลน์ หลาย ๆ ประโยคที่ มีทั้งคำชมและคำด่า แต่มีประโยคที่เราต้องเก็บมาครุ่นคิด “ ทำไมไม่ลองเขียนนิยายดูบ้างหล่ะ วิธีการเขียนมีแววเเป็นนักขียนได้นะ ? " อืม……ไม่ใช่ไม่อยากลองเขียน แต่คิดว่าศักยภาพของตนเองทำไม่ได้แน่นอน ด้วยนิสัยแค่ช่างฝัน สร้างเรื่องได้ในใจ แต่ไม่สามารถสื่อสารให้ผู้อ่านร่วมเดินทางไปกับจินตนาการของนวนิยาย ไม่สามารถเกลาภาษาให้สละสลวย เพื่อเรียกรอยยิ้ม น้ำตา ความสนุกสนาน อารมณ์ระทึกขวัญ รวมทั้งแง่คิดที่ผู้อ่านได้จากนวนิยายเล่มนั้น ๆ แต่ในใจมีประโยคที่ยังถกเถียงกันต่อว่า “ก็ในเมื่อยังไม่ได้เขียนจะรู้ได้อย่างไรว่าเขียนได้หรือไม่ได้ ” คำตอบที่อยู่ในใจและตัวเราเองไม่อยากยอมรับมัน ก็คือ เราขาดความมั่นใจ
เนื่องจากเป็น บล็อกเกอร์ จึงมักจะตระเวนไปทิ้งบทความไว้ตามเวบให้บริการเขียนบล็อก และวันนี้ก็ได้กลับไปที่เวบให้บริการอีกที่หนึ่ง ที่ซึ่งทำให้เราหมดความมั่นใจไม่กล้าเขียนบทความในแนวแสดงความคิดเห็น และขยาดที่จะเขียนบทความที่นั่น เราเปิดหน้าเวบไปอ่านบทความที่ตนเคยสร้างสรรค์ไว้ และย้อนกลับไปอ่านความคิดเห็นที่อาจารย์ท่านหนึ่ง เขียนแสดงความคิดเห็น เนื่องจากเราไม่มีชื่อเสียง ไม่มีใครในแวดวงรู้จัก แต่บทความหลายบทความที่เขียนเล่น ๆ เข้าไปเตะตาอาจารย์ท่านนี้เข้าอย่างจัง ท่านจึงเขียนแสดงความชื่นชม พร้อมกับให้กำลังใจ บอกให้เราฝึกฝนงานเขียนไปเรื่อย ๆ และนั่นเป็นคำชมมหาภัย ที่ทำให้เราเขียนบทความอีกไม่ได้หลายเดือน เมื่อรับรู้ว่ามีคนชื่นชมและติดตามอ่าน กลับรู้สึกเหมือนมีคนกำลังจับผิด เราเกร็งและกลัว หวั่นว่าบทความชิ้นต่อ ๆ มา มันคือพัฒนาการที่ดีหรือด้อยกว่าเดิม นั่นเป็นสาเหตุของ ความมั่นใจในการเขียนที่หายไป
ครั้นกลับมาอ่านความคิดเห็นอีกครั้ง ทำให้สะดุดเข้ากับกับประโยคที่เราเคยไม่ใส่ใจมัน แต่ครานี้มันดังก้องอยู่ในหัวและกระแทกเข้าที่ใจเราอย่างจัง ประโยคนี้ทำให้เราเปลียนใจ อยากฝึกฝนหัดเขียนอีกครั้ง มันคือข้อความตอนท้ายความคิดเห็นมีใจความว่า “ งานเขียนของคุณจะเป็นประโยชน์ให้กับใครหลาย ๆ คน ในอนาคต ” เราอยากให้ประโยคนี้เกิดขึ้นจริง กว่าที่หม้อดินจะกลายเป็นหม้อที่ใช้ประโยชน์ได้ มันต้องผ่านการทุบ นวด ปั้น หลายกระบวนการจึงจะกลายเป็นหม้อดินที่มีประโยชน์ หากเรามัวนึกกลัวกับการต้องผจญกับกระบวนการฝึกฝนนั้น ๆ ประโยคนี้คงเป็นจริงขึ้นไม่ได้ อืม….สู้โว้ย ….