• Breaking News

    เวบบล็อกบันทึกชีวิตธรรมดาของผู้หญิงธรรมดา มิมีสาระ แค่บ้า ๆ บ่น ๆ

    ค้นหา

    5 มี.ค. 2556

    คำสาบาน

    เสียงวิ่งดังตึงตังมาที่ห้องเรียนก่อนที่จะตามมาด้วย เสียงฟ้องดังลั่นจากเจ้าของเสียงวิ่งนั้น  “ครูครับ  พี่แป๋งเค้าแกล้งผม  เค้าถ่มนำลายใส่หน้าผม”  หน้าตามอม ๆ ของเด็กชายตัวดำที่ชื่อ จ้อน มีสีแดงก่ำ เสียงสั่นกำมือแน่น  anger อาการบ่งบอกอารมณ์อันคุกกรุ่น  หากประจันหน้ากับคู่อริ  คงพร้อมที่จะชกต่อยประจันกันซึ่ง ๆ หน้า แต่ทว่า คู่อริ เป็นผู้หญิง  เจ้าตัวจึงเก็บความแค้นมาเล่าให้ครูประจำชั้นของคู่อริรับทราบ  เราสังเกตสีหน้าของคนเป็นโจทย์   แล้วจึงสั่งให้เพื่อนนักเรียนอีกคน ไปตามจำเลย “ พี่แป้ง “ ซึ่งเด็กชายดำให้การว่าเป็นคนผิด  …..ศาลเตี้ย  เกิดขึ้นอีกครั้ง   ถึงไม่ใช่เปาบุ้นจิ้น แต่เมื่อเป็นครูของเค้า นักเรียนต้องการ ก็จำเป็นต้องเล่นไปตามบทบาทที่สมควรแก่ฐานะครู…

    “ เด็กหญิงแป้ง” นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เป็นเด็กนักเรียนเรียนดี  ความประพฤติดี  รับผิดชอบ ช่วยเหลืองานในโรงเรียนดีมาก ต่างกับโจทย์  “ เด็กชายจ้อน “ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เป็นเด็กค่อนข้างเกเร  ก้าวร้าว  แต่งกายสกปรก  การเรียนอ่อน แต่หากคุณครูไหว้วานอะไร  เด็กชายจ้อนรับอาสาช่วยทุกครั้งไป  ครั้นสอบสวนทั้งโจทย์  จำเลย และ พยานบุคคล พยานฝ่ายโจทย์บอกว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง ส่วนพยายานฝ่ายจำเลย บอกว่า เหตุการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้น  เมื่อสอบถามจำเลย  เด็กหญิงแป้ง ตอบครูด้วยเสียงมั่นใจว่า “ หนูไม่เคยทำเช่นนั้น “ พร้อมชี้แจงว่า  เด็กชายจ้อน แกล้งเตะขา แล้วด่าพ่อกับแม่ แต่เจ้าตัวไม่ได้ทำอะไร  เพียงเดินเลยผ่านไปเท่านั้น

    นึกทบทวนหาวิธีออกให้กับทั้งคู่ไม่ได้   ยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานฟังความทั้งสองฝ่ายแล้ว ไม่รู้จริง ๆว่าใครเป็นคนผิด  เพียงแต่คิดว่ากรณีนี้ผิดทั้งคู่   จึงเอ่ยปากพูดกับคนทั้งคู่ว่า “ คุณครูไม่รู้จริง ๆ ว่าการตัดสินของครู จะยุติธรรมให้พวกเธอพอใจหรือเปล่า  เพราะครูไม่ทราบว่าใครเป็นคนผิด  เพียงแต่รู้ว่าเธอทั้งคู่ผิด บ้านอยู่ใกล้กัน  หมู่บ้านเดียวกัน  นับญาติไม่เกิน 3 รุ่น เธอก็พี่น้องกัน  หรือครูพูดคำไหนผิดไป ? ทั้งคู่ก้มหน้าลงทันที   “ เอาหล่ะกรณีนี้ครูให้คนเดือดร้อนเป็นเสนอมา  จะให้ครูทำอย่างไร จึงจะเป็นที่พอใจ  “ เด็กชายจ้อนเงียบไปครู่หนึ่ง  ตอบเสียงดังฟังชัด  “ ผมอยากให้พี่แป้งสาบานครับ” ครั้นหันไปทางจำเลย    เด็กหญิงผงกหัวลงตอบรับ “ หนูยอมสาบานค่ะ “ เราโล่งอกไปหนึ่่งเปลาะ  คราวนี้ยกภาระไปให้เจ้าพ่อต้นบักเหลือม  ที่ทางโรงเรียนเชื่อว่าเป็นเจ้าที่  เป็นผู้ตัดสิน  คำสาบานมีอยู่ว่า  “ เหตุการณ์ครั้งนี้หากใครผิด  ขอให้บุคคลที่ตนรักที่สุดเสียชีวิตลงทันที “ ข้อตกลงคือ หลังจากสาบาน จะไม่เคืองแค้น  เหตุการณ์ทะเลาะจะไม่เกิดขึ้นมาอีก ขอให้ทั้งคู่เลิกแล้วกันไป   รอเพียงเจ้าพ่อเป็นคนยืนยันคนผิด

    เราขอไม่ไปเป็นผู้ร่วมเหตุการณ์คำสาบานใต้ต้นเหลื่อม ให้เหตุผลกับเด็กทั้งคู่ว่า  “ ครูเชื่อคำสาบาน มันแรงและน่ากลัวที่สุด  คุณครูไม่ขอมีส่วนร่วมในครั้งนี้ “   จึงให้ทั้งคู่ลงไปดำเนินการเอง  เพียงลอบมองไปทางหน้าต่าง   จึงเห็นเด็กชายและเด็กหญิงทั้งคู่ยืนใต้ต้นเหลือม  เด็กชายเป็นคนพูดนำคำสาบาน ส่วนเด็กหญิงเป็นคนพูดตาม  เมื่อกระทำพิธีสาบานเสร็จสิ้น คนทั้งคู่ก็แยกย้ายกลับบ้าน  ส่วนเราเดินกลับมานั่งทำงานต่อ

    ทำงานจนล่วงเวลามานานเหลือบไปดูนาฬิกาที่ฝาห้อง  6 โมงกว่า  จึงเดินไปปิดหน้าต่างห้องเรียนเตรียมกลับบ้าน   พลันสายตาเหลือบไปที่ใต้ต้นเหลือมอีกครั้ง   คราวนี้เจอเด็กหญิงแป้งยืนพนมมืออยู่คนเดียว ใต้ต้นเหลือม   เรารู้แล้วใครผิด  เหตุการณ์ครั้งนั้นผ่านไปราวสามสัปดาห์ เด็กหญิงแป้งขาดเรียน ถามเด็กนักเรียนที่อยู่บ้านใกล้ๆ   มีเสียงตอบกลับมาว่า   เด็กหญิงแป้งไปงานศพพ่อ  พ่อเสียชีวิตจากการถูกรถที่จังหวัดมุกดาหาร   เมื่อเด็กชายจ้อนทราบข่าวว่า พ่อของคู่อริเสียชีวิต  อาการโกรธอาฆาต ก็หมดสิ้นไป  เจ้าตัวตอบครูเสียงอ่อยว่า “ ผมเสียใจครับ”

    เหตุการณ์ครั้งนี้คนที่ผิดมากที่สุด  น่าจะเป็นเราunhappy คนเป็นครู  เมื่อรู้ว่าการสาบานเป็นเรื่องไม่ดี  เหตุใด จึงไม่ยอมห้ามปรามเด็ก  พยายามคิดเข้าข้างตนเองว่า มันคืออุบัติเหตุิ  ไม่เกี่ยวกับคำสาบานแต่อย่างใด  แต่ทว่าทุกครั้งที่ผ่านต้นเหลื่อม  เราก็อดที่จะคิดไม่ได้มันอาจเนื่องมาจากคำสาบาน บทเรียนครั้งยิ่งใหญ่  คำที่หลุดออกจากปาก มันคือคำศักดิ์สิทธิ์  ประทานให้ทั้งพรและสิ่งอัปมงคล แต่ทั้งหมดเรากำหนดได้  จากการพูดดี คิดดี และทำดี          จะจำใส่ใจไว้เป็นบทเรียน

    ไม่มีความคิดเห็น:

    แสดงความคิดเห็น

    บทความคอมพิวเตอร์

    Fashion

    Popular

    Beauty

    Recent Post

    Travel